ขายของออนไลน์อย่างไรให้ปัง
แม่ค้าออนไลน์ต้องรู้ 6 เทคนิคขายของออนไลน์ ธุรกิจปัง ไม่มีพังแน่นอน!
- ตีโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้แตก
- สร้างภาพลักษณ์ให้แบรนด์เป็นที่น่าจดจำ
- ใส่ใจกับภาพสินค้า
- มีศิลปะในการตั้งราคา ล่อใจผู้บริโภค
- จัดการระบบหลังบ้านงานออนไลน์ให้แกร่ง
- จัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย
1. ตีโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้แตก ขายของออนไลน์อย่างไรให้ปัง
สำหรับการเริ่มต้นขายของออนไลน์จะต้องมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน การกำหนดกลุ่มเป้าหมายจะต้องรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็น ช่วงอายุ พฤติกรรมการซื้อของ หรือกิจกรรมที่ชื่นชอบ เพื่อที่จะได้เจาะกลุ่มลูกค้าได้ถูก และรู้ความต้องการที่แท้จริงของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งช่วยให้สามารถเสนอสินค้าและบริการให้ตรงใจได้มากที่สุด
ที่สำคัญผู้ขายจะต้องสำรวจความต้องการของกลุ่มเป้าหมายอยู่เสมอ หากความต้องการมีการเปลี่ยนแปลง จะได้ตอบสนองได้อย่างถูกต้อง
2. สร้างภาพลักษณ์ให้แบรนด์เป็นที่น่าจดจำ
เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะเลือกขายของออนไลน์อะไรดี ขั้นต่อไป คือ ต้องทำให้แบรนด์เป็นที่น่าจดจำ เพื่อที่จะได้เป็นที่รู้จักได้เร็วขึ้น โดยจะต้องหาเอกลักษณ์ให้กับแบรนด์ตัวเอง เริ่มจากการดึงจุดเด่นของสินค้าขึ้นมาชูผ่านโลโก้ สโลแกน หรือชื่อแบรนด์ รวมทั้ง ควรคุม Mood & Tone ของแบรนด์ให้ไปในทิศทางเดียวกัน และใช้สีเพื่อสร้างภาพลักษณ์หรือเสริมภาพจำของแบรนด์ให้ชัดเข้าไปอีก ซึ่งสีแต่ละสีสามารถบ่งบอกอารมณ์ หรือสร้างความรู้สึกที่แตกต่างกัน ดังนั้น การเลือกสีให้เหมาะกับภาพลักษณ์แบรนด์ที่สร้างขึ้น จะช่วยสื่อสารกับผู้บริโภคได้ชัดเจนขึ้น เช่น
- สีน้ำเงิน: ความสงบ ความสุภาพเรียบร้อย และความน่าเชื่อถือ
- สีเหลือง: ความสดใสร่าเริง ความสนุกสนานแบบหนุ่มสาว
- สีแดง: เป็นสีที่สะดุดตา กระตุ้นประสาทในการรับรู้ และทำให้รู้สึกตื่นเต้น
- สีเทา: แสดงถึงความหรูหรา มีระดับ
- สีเขียว: บ่งบอกถึงความเป็นธรรมชาติ ความสดชื่น และมีชีวิตชีวา
3. ใส่ใจกับภาพสินค้า
รูปถ่ายเป็นสิ่งแรกที่คนเรามักจะเลือกมองก่อนเสมอ หากรูปสวยก็จะยิ่งดึงดูดลูกค้าให้เข้ามารับชมสินค้าได้ง่ายขึ้น ดังนั้น การถ่ายรูปสินค้าเป็นเทคนิคขายของออนไลน์ที่มีความสำคัญมาก เพราะการขายออนไลน์ ลูกค้าไม่สามารถจับสินค้าตัวจริงได้ จึงต้องถ่ายรูปสินค้าให้น่าสนใจ และทำให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจในตัวแบรนด์ของคุณ
ถ่ายให้ชัด ชูจุดเด่นของสินค้า
นอกจากการถ่ายรูปสินค้าให้มีความสวยงามแล้ว ยังต้องดึงจุดเด่นของสินค้าออกมาผ่านภาพถ่ายให้ได้มากที่สุด กล่าวคือ นอกจากการถ่ายภาพลักษณ์ภายนอกของตัวสินค้าแล้ว อาจจะถ่ายขณะที่ใช้งานเพื่อให้ภาพมีความน่าสนใจมากขึ้น และช่วยให้ลูกค้าเข้าใจในตัวสินค้ามากขึ้นอีกด้วย
จัดองค์ประกอบภาพให้เหมาะสม
สำหรับนักขายมือใหม่ที่ต้องถ่ายรูปสินค้าสามารถใช้หลักการถ่ายภาพที่เรียกว่า Rule of Thirds หรือกฎสามส่วนช่วยได้ โดยการลากเส้นแบ่งภาพออกเป็นสามส่วน ทั้งแนวตั้งและแนวนอน จะทำให้เกิดจุดตัดกันในภาพ 4 จุด ซึ่ง 4 จุดนี้ถือเป็นบริเวณที่ควรวางวัตถุลงไปเพื่อเน้นให้มีความเด่นขึ้น สำหรับนักขายคนใดที่ใช้กล้องดิจิตอล หรือกล้องมือถือถ่ายรูปสามารถตั้งค่าเปิดตาราง Grid ก็จะช่วยให้การวางองค์ประกอบภาพนั้นง่ายขึ้น นอกจากการวางตัวสินค้าแล้ว สามารถเลือกการจัดองค์ประกอบของภาพ หรือการวางพร็อพเพิ่มเติมเพื่อให้ภาพมีลูกเล่นมากขึ้นได้
เลือกใช้แสงให้เหมาะกับสินค้า
การที่จะถ่ายรูปสินค้าให้ออกมาดูดีได้ จะต้องเลือกใช้แสงให้มีความเป็นธรรมชาติ เพื่อช่วยให้สินค้าดูโดดเด่นขึ้นมา ที่สำคัญยังทำให้สินค้าดูมีมิติอีกด้วย นอกจากนี้แสงแต่ละช่วงเวลายังสามารถบ่งบอกอารมณ์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นควรเลือกแสงให้มีความเหมาะสมกับตัวสินค้า และประเภทของผลิตภัณฑ์ เช่น หากเป็นอาหารควรเน้นจัดแสงไปที่ผลิตภัณฑ์ เพื่อให้เกิดการดึงดูดสายตา เห็นถึงความน่ากิน แต่หากเป็นสินค้าที่ต้องแสดงรายละเอียด ควรเลือกใช้แสงที่ไม่เข้มจนเกินไป เพื่อช่วยให้สินค้าดูโดดเด่น และมีความชัดเจน
ถ่ายภาพหลายๆ มุม
สินค้าบางชนิดอย่างเสื้อผ้า รองเท้า หรือกระเป๋าที่มีการออกแบบให้มีลูกเล่นต่างๆ การถ่ายภาพหลายมุมไม่ว่าจะเป็นด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลังของสินค้า พร้อมทั้งระบุขนาดให้ชัดเจน ช่วยเพิ่มการตัดสินใจของลูกค้าได้ง่ายขึ้น ยิ่งถ่ายภาพได้อย่างชัดเจนและสวยงาม สินค้าตรงปกก็จะทำให้ปิดการขายได้ไม่ยากเลย
4. มีศิลปะในการตั้งราคา ล่อใจผู้บริโภค
การตั้งราคาเป็นอีกหนึ่งเทคนิคขายของออนไลน์ที่พ่อค้าแม่ค้ามือใหม่ต้องเจอ และหลายๆ คนอาจมีปัญหาว่าควรจะต้องตั้งราคาขายที่เท่าไหร่ เพื่อให้ได้กำไร พร้อมทั้งโดนใจผู้บริโภคด้วย การตั้งราคาเป็นอีกเทคนิคที่สำคัญ และควรใส่ใจ ซึ่งศาสตร์การตั้งราคาด้วยหลักจิตวิทยา มีดังนี้
ตั้งราคาลงท้ายด้วยเลข 9
หลักการตั้งราคาลงท้ายด้วยเลข 9 ถือเป็นกลยุทธ์การตั้งราคาสินค้าตามหลักจิตวิทยาที่เห็นได้ทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นราคา 199 299 หรือ 399 เพราะเลข 9 ถือเป็นเลขสุดท้ายก่อนที่จะขึ้นตัวเลขหลักใหม่ ทำให้สินค้าดูเหมือนถูกลง เพราะส่วนใหญ่แล้วผู้บริโภคมักจะประเมินราคาจากเลขตัวหน้าเป็นหลัก
สำหรับสินค้าที่เหมาะจะตั้งราคาด้วยเทคนิคนี้ควรเป็นสินค้าที่สามารถต่อรองได้ เพราะลูกค้าก็จะไม่ต่อราคาที่มากจนเกินไป ทำให้ยังได้กำไรอยู่
ตั้งราคาที่คำนวณได้ง่าย
สำหรับร้านที่ขายของหลากหลาย ภายในร้านมีทั้งเสื้อ กางเกง กระโปรง และรองเท้า การตั้งราคาที่คำนวณได้ง่าย ไม่ต้องลงท้ายด้วยเลขเศษ ช่วยให้ลูกค้าคำนวณการจ่ายได้ง่าย เมื่อซื้อของหลายชิ้นจะได้ไม่เกิดความยุ่งยาก
ตั้งราคาเป็น 3 ระดับ
อีกหนึ่งเทคนิคการตั้งราคาที่น่าสนใจ คือ การตั้งราคาแบบ 3 ระดับ กับสินค้าที่มีคุณภาพใกล้เคียงกัน หรือไม่ต่างกันมาก เพื่อเป็นการกระตุ้นความคิดของลูกค้าให้นึกถึงความคุ้มค่า เช่น ขนาดเล็ก 15 บาท ขนาดกลาง 20 บาท และขนาดใหญ่ 25 บาท ลูกค้าก็จะรู้สึกว่าเพิ่มเงินอีกแค่นิดหน่อยแต่ได้ขนาดที่เพิ่มขึ้น ทำให้รู้สึกคุ้มค่าที่จะเสียเงินเพิ่ม จึงเลือกซื้อแบบชิ้นใหญ่ ซึ่งก็จะทำให้ขายได้ในปริมาณและราคาที่มากขึ้น
ตั้งราคาแบบขายเหมา
การตั้งราคาแบบเหมาเป็นการส่งเสริมการขายรูปแบบหนึ่ง คือ หากลูกค้าซื้อในปริมาณที่มาก หรือซื้อยกลังจะถูกกว่าการซื้อแยกชิ้น ถือเป็นการตั้งราคาที่ช่วยดึงดูดผู้ซื้อได้เป็นอย่างดี สำหรับสินค้าที่ตั้งราคาแบบนี้ได้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสินค้าชนิดเดียวกัน
5. จัดการระบบหลังบ้านงานออนไลน์ให้แกร่ง
การมีระบบจัดการงานหลังบ้านที่ดีเป็นอีกหนึ่งเทคนิคขายของออนไลน์ที่จะช่วยให้ร้านค้าออนไลน์หลายๆ ร้านประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น ลูกค้าไม่ต้องรอนาน และลดความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นได้ด้วย
ใช้โปรแกรมช่วยจัดการออเดอร์
โปรแกรมจัดการระบบหลังบ้าน เป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยดูแลธุรกิจในด้านต่างๆ เพื่อให้ทำงานได้คล่องมากขึ้น มีตั้งแต่ระบบจัดการสต๊อกสินค้า การจัดการออร์เดอร์ การสรุปยอดสั่งซื้อ และสถานะการโอนจ่าย รวมไปถึงการติดตามระบบขนส่งว่าของถึงมือลูกค้าแล้วหรือยัง
โปรแกรมต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้เจ้าของกิจการรู้สถานะของร้านค้าว่ามีสินค้าเหลือเท่าไร และต้องเพิ่มสินค้าตัวไหน ซึ่งในปัจจุบันมีระบบให้เลือกใช้มากมาย เช่น Zort, Page365, Peak, Flow Account, Sokochan และ Shipnity เป็นต้น
ตอบลูกค้าให้ไว
นอกจากการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยจัดการระบบหลังบ้านให้ทำงานได้ง่ายขึ้นแล้ว การบริการลูกค้าก็จะต้องทำได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้การตอบกลับอัตโนมัติ หรือจ้างแอดมิน ซึ่งผู้ประกอบการต้องบริหารให้เพียงพอต่อการทำงาน เพื่อที่จะได้บริการลูกค้าได้อย่างเต็มที่ ยิ่งตอบเร็วก็ยิ่งมีโอกาสในการขายของได้มาก หากตอบช้าอาจทำให้ลูกค้าเปลี่ยนใจ และเลือกที่จะไปซื้อของร้านอื่นแทน จนทำให้เสียโอกาสขายของได้
จัดส่งของทันใจลูกค้า
การจัดส่งของเป็นอีกหนึ่งหัวใจ สำคัญในการขายของออนไลน์ ในยุคนี้อะไรก็ต้องรวดเร็ว ยิ่งของถึงมือเร็วก็จะช่วยสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้ นอกจากเรื่องของเวลาแล้ว การออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่โดดเด่น หรือการแพ็กของที่แน่นหนาไม่ทำให้สินค้าเกิดความเสียหาย รวมถึง ช่องทางการส่งสินค้าที่หลากหลายทั้งภายในและภายนอกประเทศ ก็สามารถนำมาเป็นจุดเด่นในการขายของร้านได้ ซึ่งการส่งของเร็วมีเทคนิคง่ายๆ ดังนี้
- ส่งก่อนรอบไปรษณีย์ จะช่วยให้ลูกค้าที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีโอกาสที่จะได้รับสินค้าได้ในวันถัดไป และลูกค้าจังหวัดอื่นๆ ก็จะได้รับสินค้าเร็วขึ้น
- ติดต่อเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์เพื่อขอหมายบาร์โค้ดมาแปะที่กล่องพัสดุด้วยตนเอง เพื่อประหยัดเวลาในการรอการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่
- แพ็กสินค้าให้เรียบร้อย แน่นหนา พร้อมทั้งเขียนรายละเอียดต่างๆ ให้ครบถ้วนก่อนส่ง จะช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถดำเนินการรับพัสดุเข้าระบบได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
- Same-day Delivery หรือบริการส่งถึงผู้รับภายในวันเดียว เหมาะกับสินค้าประเภทอาหารสดหรืออาหารปรุงสุกที่ต้องควบคุมอุณหภูมิ รวมถึง ร้านค้าสามารถเพิ่มเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับลูกค้าที่ต้องการสินค้าภายในวันที่สั่งอีกด้วย ซึ่งมีหลายแบรนด์ขนส่งที่ให้บริการนี้ เช่น ไปรษณีย์ไทย Kerry Express และ Flash Express
- ช่องทางขนส่งสินค้าไปต่างประเทศ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการขายได้ เพราะกลุ่มลูกค้าของคุณจะไม่ถูกจำกัดอยู่เพียงแค่ภายในประเทศเท่านั้น โดยมีบริการขนส่งข้ามประเทศแบบธรรมดาและการขนส่งแบบด่วนให้เลือกหลายแบรนด์ เช่น DHL Express และ Fastship
6. จัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย
การจัดโปรโมชั่นถือเป็นการกระตุ้นยอดขาย และโน้มน้าวให้ลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการของเราเพิ่มขึ้น ซึ่งการสร้างโปรโมชั่นขึ้นมาในแต่ละครั้งจะต้องตั้งเป้าหมายก่อนว่าทำเพื่ออะไร เช่น จะเปิดตัวสินค้าใหม่ ล้างของในสต๊อก กระตุ้นยอดขาย หรืออยากดึงลูกค้าใหม่ๆ เป็นต้น รวมถึง ต้องเลือกจัดโปรโมชั่นให้เหมาะกับเป้าหมายต่อไป
โดยการจัดโปรโมชั่นนั้นมีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การซื้อ 1 แถม 1, ราคาในช่วงเวลาพิเศษ, โปรพิเศษฟรีค่าส่ง หรือลดตามเทศกาลต่างๆ เป็นต้น
ปัจจุบันธุรกิจออนไลน์มีการแข่งขันที่สูง หากสินค้าของเราไม่มีจุดเด่น ที่แตกต่างจากร้านอื่นๆ ก็จะทำให้ร้านไม่เป็นที่สนใจ หรือตีตลาดสินค้านั้นๆ ได้ยาก ซึ่งการมีเทคนิคขายของออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น การสร้างภาพลักษณ์ให้กับแบรนด์ ถ่ายรูปให้น่าสนใจ มีกลยุทธ์ในการตั้งราคาสินค้า หรือมีโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขายอยู่เสมอ สามารถช่วยให้ธุรกิจปังและเป็นที่รู้จักมากขึ้นได้ นอกจากนี้ การสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าถือเป็นอีกเรื่องที่ควรใส่ใจไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น การตอบคำถาม การบริการ และการส่งของ ที่ยิ่งไวยิ่งได้เปรียบ สำหรับใครที่กำลังมองหาขนส่งที่ครบครัน และเปิดตลอด 24 ชั่วโมง ที่ศูนย์การค้าเดอะ สตรีท รัชดา Logistic Hub ใจกลางเมืองกรุงฯ มีบริการขนส่งทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ไปรษณีย์ไทย, Kerry Express, J&T Express, DHL Express, Flash Express และ Fastship ทั้งยังสะดวกรวดเร็ว และสามารถฝากส่งสินค้าได้ทุกรูปแบบ เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า SMEs และกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์